วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

บันทึกของหลานสาว: เจ๋เจ้ ตอนที่ 22-25



Jeje XXII “เค้าล้อเล่น”

แจ๊ค : เจ๋เจ้ไม่ไอแล้วนี่ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนได้แล้วสิ

เจ๋เจ้ : แม่เค้าบอกว่ายังไม่ให้ไป รอให้หายดีๆก่อน

แจ๊ค : เหรออ

เจ๋เจ้ : เค้านะอยากไปโรงเรียนจะแย่อยู่ละ

แจ๊ค : เหรออออ เด๋วเค้าไปบอกแม่ตัวเองให้นะ

เจ๋เจ้ : เค้าล้อเล่นนน :P (วิ่งหนีไปโน้นละ)



JeJe XXIII "เค้าจะฟ้องอาม่า"

แจ๊ค : ..โอ้ย เจ๋เจ้มาต่อยเค้า เด๋วเค้าจะไปฟ้องอากง ว่าเจ๋เจ้แกล้งเค้า

เจ๋เจ้ : เค้าไม่กัว

แจ๊ค : ทำไมไม่กัว

เจ๋เจ้ : เค้าจะฟ้องอาม่า


เจ๋เจ้ : อากงกลัวอาม่า

(5555)



JeJe XXIV "เล่นแรงนะ.."

เหตุเกิดขณะ(แจ๊ค)เข้าห้องน้ำ แล้วเอานิยายเข้าไปอ่านด้วย..

10 นาทีผ่านไป..

20 นาทีผ่านไป...

30 นาทีผ่านไป....

40 นาทีผ่านไป....."ก๊อกๆๆ"(เสียงเคาะประตูห้องน้ำ)..

เจ๋เจ้ : เจ๊กแจ๊คคค ยังมีชีวิตอยู่เหรอป่าววว เค้าปวดฉี่..

แจ๊ค : เอ่อ.. บอกกันดีๆก็ได้



JeJe XXV "ภาษาคน"

แจ็ค : เจ้ ดูการ์ตูนภาษาจีนมั้ย

เจ๋เจ้ : ไม่เอา เค้าฟังไม่รู้เรื่องหรอก

แจ็ค : อ้อ แล้วตัวเองฟังภาษาไรรู้เรื่องละ

จ๋เจ้ : ภาษาคนไง เจ็กแจ๊ครู้จักละป่ะ



===

ตอนนี้น้องเจ๋เจ้ก็โตเข้าโรงเรียนแล้ว ไม่ค่อยมีเวลามาเล่นกันเหมือนเคย

ผมต้องขอจบบันทึกแต่เพียงเท่านี้ก่อนหล่ะครับ

ถ้ามีบันทึกใหม่ ๆ จะมาเขียนที่นี่อีก

ขอบคุณทุกคนมากนะครับ ที่ติดตาม


แจ๊ค


ปล. ติดตามตอนเก่า ๆ ได้ที่นี่ ครับ (คลิ๊ก)

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

วันนี้ วันที่น่าเบื่อที่สุดในรอบปี


ข้อมูลจาก FW-Mail ( เก็บไว้ 2 ปีแล้ว เพิ่งมีโอกาสได้ลง :-) )


บีบีซีนิวส์ - อาจารย์พิเศษจากเกาะอังกฤษคิดสูตรคำนวณวันที่น่าเบื่อที่สุดในรอบปีพบ “24 มกราคม” เนื่องจากเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความสุขของเทศกาลคริสต์มาสได้เพียงแค่ 1 เดือน ประกอบกับอากาศที่หนาวจัดในเดือนนี้ยิ่งชวนให้หดหู่ใจและดูเปล่าเปลี่ยวไม่น้อย

คลิฟฟ์ อาร์นอลล์สอาจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ ยูนิเวอร์ซิตีค้นพบว่าวันที่ “24 มกราคม” เป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดในรอบปี โดยใช้สูตรการคำนวณจากสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ หนี้ที่ยังคงคั่งค้างอยู่ ความทรงจำในวันคริสต์มาสอันแสนสนุก ความล้มเหลวที่อยากจะเลิกนิสัยแย่ๆ และความกระตือรือร้นที่อยากทำกิจกรรมในช่วงเวลาดังกล่าว

อย่างไรก็ตามดร.อลัน โคเฮนโฆษกประจำโรยัล คอลเลจ ออฟ เจเนรัล แพรคทิกชันเนอร์ได้แนะนำว่าวิธีการแก้ไขในเบื้องต้นไม่ให้วันดังกล่าวเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดนั้นสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายหรือใช้เวลาอ่านหนังสือและหาข้อมูลเกี่ยวกับความเศร้าโศกหดหู่ที่เกิดขึ้น

โคเฮนยอมรับว่าในช่วงหน้าหนาวผู้ป่วยที่มาหาหลายคนมักมีอาการหดหู่ แต่เขายอมรับว่าโรคดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นอาการเลวร้ายจนน่าตื่นตระหนกแต่อย่างใด ซึ่งบรรดาคนที่รู้สึกเช่นนี้ส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเองหลังจากผ่านวันเวลาแสนเศร้านี้ไปแล้ว

สำหรับสูตรที่ใช้ค้นหาวันที่แสนน่าเบื่อนี้คือ 1/8W + (D-d) 3/8 x TQ MxNA

ทั้งนี้ในสูตรดังกล่าว W คือสภาพอากาศ D คือหนี้ที่หักลบด้วย d คือเงินที่ใช้จ่ายในเดือนมกราคม ส่วน T คือเวลาตั้งแต่คริสต์มาส

ขณะที่ Q คือช่วงเวลาที่ไม่สามารถยกเลิกนิสัยแย่ๆที่ต้องการขจัดออกไปจากชีวิต ส่วน M คือระดับความปรารถนาในสิ่งทั่วไป ขณะ NA คือความต้องการทำกิจกรรมต่างๆ

ดร.อาร์นอลล์สเผยจากผลการคำนวณว่าวันที่ 24 มกราคมนั้นอยู่ในช่วงอันตรายที่สุด ที่หลายๆคนจะประสบกับภาวะเศร้าหดหู่ชวนเบื่อหน่าย เนื่องจากเป็นช่วงเวลา 1 เดือนพอดีหลังจากที่หลายๆคนได้สนุกสนานกับเทศกาลคริสต์มาสประกอบกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บจนไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น


นอกจากนี้อาร์นอลล์สยังระบุอีกว่าพลังงานต่างๆที่ได้สะสมมาอย่างเต็มที่ในช่วงวันหยุดยาวก็จะหมดไปในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมกราคม

======

อ่านเล่น ๆ เป็นเกร็ดความรู้แก้เบื่อนะครับ :-)

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

บทสวดพาหุงมหากา


บทสวด พาหุง -

พระคาถาพาหุง เรียกอีกอย่างว่า ชัยมงคลคาถา หรือ บทสวดถวายพระพร เป็นพระคาถาแปดบท ใช้สวดสรรเสริญชัยชนะแปดประการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และอมนุษย์ ที่ได้มาด้วยพระพุทธธรรม มิได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์แต่อย่างใด โดยพระมักสวดต่อท้ายทำวัตรเช้า – เย็น เริ่มด้วย บทพาหุง ตามด้วยบทมหาการุณิโก รวมเรียกว่า พาหุงมหาการุณิโก หรือ พาหุงมหากา [wikipedia]

บทสวดพาหุงฯ ในตำนานสมเด็จพระนเรศวร
ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ คงจะพอจำกันได้ว่ามีอยู่ฉากหนึ่ง ที่พระสุพรรณกัลยาสวดมนต์ให้กับสมเด็จพระนเรศวร ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรกำลังกวาดต้อนผู้คนข้ามแม่น้ำสะโตง บทสวดมนต์นั้นก็คือบทสวดที่เรียกว่า "พาหุง มหาการุนิโก" (หรือชัยมงคลคาถา ชัยปริตร)..... อ่านต่อ


บทสวด ประวัติ และคำแปล
จากคำสอนของพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเล่าว่าได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยาในนิมิต และได้ทราบว่าคาถาพาหุงมหากานี้ เป็นบทสวดที่สมเด็จพระพนรัตน์ ได้จารึกถวายต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไว้สวดเป็นประจำระหว่างอยู่ในพระบรมหาราชวัง หรือระหว่างออกศึกสงคราม เพื่อให้มีชัยต่อพระมหาอุปราชแห่งพม่า และกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากกรุงหงสาวดีได้สำเร็จ.... อ่านต่อ


การสวดมนต์ โดยพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)
“พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดู เคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์ อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ บอกว่า โยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด “พาหุงมหากาฯ” หายเลย สติก็ดีขึ้น.... อ่านต่อ


บทสวดพาหุง มหาการุณิโก

พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง

ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง

ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง

โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง

ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง

ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง

เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง

ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง

อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา

จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ

สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง

วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง

ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง

ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต

อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง

พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง

ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฉฐะคาถา โย

วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที

หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ

โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ

ชะ ยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัมหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ

เพื่อนในความรู้สึก

สวัสดีค่ะ พี่น้อง ผองเพื่อนในชุมชนจิตใจดีที่รักทุกท่าน

ช่วงนี้..บางวันสมองว่างเปล่า
บางวันสมองหนักอึ้ง
แต่ในความคิดคำนึง
คิดถึงเพื่อน ๆ ชุมชน จิต-ใจ-ดี เสมอมา เสมอมาก
จึงฝากกลอนมาให้อ่านยามว่าง..ว่างจริง ๆ





เพื่อนในความรู้สึก

เธอบอกว่า..คนบางคนเหมาะจะเป็นเพื่อนเที่ยว
บางคนเหมาะจะเป็นเพื่อนคุย
หลายคนเหมาะจะเป็นเพื่อนกัน และ
น้อยคน เหมาะจะเป็นเพื่อนรัก
ฉันอยากจะบอกกับเธอว่า
ถ้าเช่นนั้นฉันก็ไม่ใช่...
ไม่ใช่บางคน...หลายคน
หรือน้อยคนที่เธอกล่าวถึงเลย
ฉันไม่เหมาะจะเป็นอะไรสักอย่าง
ในความเป็นเพื่อนนั้น
เพราะสิ่งเดียวที่ฉันปรารถนาจะเป็น
ในความผูกพันระหว่างเรา
คือ เพื่อนในความรู้สึก
ฉันขอเพียงเป็น
เพื่อนในความรู้สึกของเธอ
ความรู้สึกอันสูงส่งและศรัทธา





แทนศรัทธาและอาทร

ถึงไม่มีตัวตนอยู่ตรงหน้า
ก็ขอให้รู้ว่า มีฉันอยู่
ทุกลมหายใจของการต่อสู้
เธอคือผู้สรรค์สร้างหนทางทอง
และจะอยู่ตรงนี้ชั่วชีวิต
จะถูกผิดล้มลุกหรือสุขหมอง
หากเธอยังยืนยันในครรลอง
ด้วยมือสองฉันจะสร้างทางสวยงาม
ขอเธอเชื่อมั่นศรัทธาในค่าฝัน
จะสร้างสรรค์จะฟันฝ่าจะพาข้าม
จะทุกข์ยากเพียงไหนไม่ครั่นคร้าม
จะติดตามต่อตีด้วยชีวิต
เพราะเส้นทางสายนี้มีทุกข์มาก
เคยลำบากตรากตรำเคยทำผิด
แต่ทุกข์ล้วนสร้างสมคมความคิด
ให้พลาดผิดน้อยลงเพื่อยงยืน
ฉันอาจเคยเป็นคนที่ไม่มีค่า
เคยไขว่คว้าพลาดไปในครั้งอื่น
แต่เมื่อล้มแล้วไม่ล้ากล้าลุกยืน
เพื่อคว้าคืนความฝันอันโรจน์ไกล
และเธอคือผู้เชื่อมฝันของวันก่อน
เธอพาย้อนโลกชื่นคืนมาใหม่
ให้โอกาสคนกล้าที่ปราชัย
เริ่มต้นใหม่อีกครั้งความหวังนี้
ขอยืนยันยืนหยัดศรัทธาเสมอ
ตามติดเธอฟันฝ่าไปไม่ถอยหนี
เปี่ยมพลังทั้งวันหน้าและวันนี้
ให้ทุกสิ่งที่เห็น ที่เป็น ที่มี “แทนศรัทธาและอาทร”




ที่มา : แทนศรัทธาและอาทร ..โดยน้ำตาลปึก สำนักพิมพ์แทนแสนหล่อ, พิมพ์ที่พลพันธ์การพิมพ์ กรุงเทพฯ.
ภาพ : สีตะวัน...สวนย่อมบ้านหรรษา...ยามพักผ่อน

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

Change we can believe in








คอลัมน์ จิต-ใจ-ดี ชวนคุย

ประเทศสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว เป็นคุณบารัค โอบามา ผู้ซึ่งมีสโลแกนหาเสียงอันสวยหรูว่า "Change we can believe in"

วันนี้เลยขอคั่นเรื่องลักษณะผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จสูง ด้วยการพัฒนาองค์กรด้วยการเปลี่ยนแปลง ก่อน (เรื่องของเรื่องก็คือไปค้นเจอเอกสารสมัยเรียนโดยบังเอิญ เห็นว่าน่าสนใจดี เลยเอามาเผยแพร่ให้อ่าน :-) )



เอกสารและรูปประกอบสั้น ๆ อ่านเล่นได้ที่นี่

การพัฒนาองค์กร ด้วยการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนเื่พื่อพัฒนาองค์กร

Just for Laugh
















ขอบคุณคร๊าบ..บ.บ...
ขอให้มีความสุขทุกวันนะคะ
ขอบคุณค่ะ

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552

จดหมายน้อย...จากใจ

แห่ะๆ..
สวัสดีค่ะ..พี่สีตะวัน
ขออนุญาตชาวชุมนุมจิต-ใจ-ดี นะคะ
หากว่าเป็นการรบกวนข้าน้อยขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะเจ้าคะ :D


เขียนบรรยายความในสักจ๋ง..สองจึ๋ง :D

ถึงพี่สีตะวันจากใจเป็นกรณีพิเศษค่ะ O_o"
ช่วงนี้หนูค่อนข้างออกจะปล้ำๆเปล๋อๆ
หยิบจับอะไรก็ขาดๆเกินๆ

จะหาความตรงและลงตัวเป๊ะๆนั้น....
ไม่มีเอาซะเลย

เอาล่ะนะ...เข้าเรื่องดีกว่า
เขียนมากเดี๋ยวผิดเยอะอีก...

คือ..เมื่อวานนาจำได้ว่า...
ก่อนเลิกงาน..นาได้เข้ามาอ่าน
Entry เกี่ยวกับรหัส ATM ล่ะค่ะ

แล้วก็เม้นไปจึ๋งหนึ่ง...
จำไม่ได้ว่าเม้นอะไรพลาดไปป่าว

จำได้แต่เพียงว่าร้องเพลงเชียร์ของสาวพยาบาล มข. อ่ะ
และก็ให้มีสติ ไม่ประมาท เวลากดบัตร ATM (นิดหนึ่ง) ^^"

หลังจากนั้นก็ไม่เข้าเน็ตอีกเลย
เพราะระยะหลังมานี้...จะพยายามลดการเล่นเน็ตหลังเลิกงาน
(ประหยัดช่วยตัวเองค่ะ จะเล่นเฉพาะเวลาราชการที่(แอบ)ว่างๆ
จะได้เล่นเน็ตฟรี ประหยัดช่วยตัวเองอีกต่อ ช่วยหลวงบริหารงบน่ะ แห่ะๆ
ใช่หรอกค่ะ...ที่ทำงานอุตส่าห์ติดตั้งไวเลจให้แล้ว ไม่มีคนใช้นี่สิยิ่งเปลืองงบประมาณ
ว่าไหม....) :D

ทีนี้...วันนี้ตอนเที่ยงๆ ทานข้าวไปด้วย
เล่นเน็ตไปด้วย ตั้งใจแวะเข้าจิต-ใจ-ดี

อ้าว...
อ้าว....อ้าว
อ้าว...อ้าว..อ้าว....

เป็นอีหยังอีกล่ะน้อ
หนูไปเม้นอะไรพลาดอีกล่ะหนอ

Entry พี่สีตะวันหายไปไหนอ่ะ
เป็นเพราะหนูเม้นอะไรผิดไปป่าวคะ

คือว่า..ถ้าหนูพลาดอะไรไป
หนูอยากบอกว่า

"หนูขอโต๊ดดดดดดดดดดด ขอโทษจากใจนะคะ :D
ให้อภัยหนูน๊า..."

ปล. วันนี้หนูคิดเลขผิดด้วยล่ะ กว่าจะหาทางเอาตัวรอด
จากเด็กเก่งเหงื่อแตกซิกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
(งานเยอะสมองเบลอ คิดอย่างมือเขียนอย่าง)

คืนนี้...หนูคงนอนไม่หลับอีกล่ะ
เพราะงานเข้าเยอะมาก เด็กใกล้สอบ O-Net, NT, LA
ติวเด็ก...จนหัวฟู (ยิ่งมีผมน้อยๆอยู่)

ติวข้อสอบ Math ให้เพื่อนครูประถมคนอื่นด้วย
เพราะเค้าคิดไม่ได้...
(อั้ยมัธยมหนูก็ยังจะไม่รอดยัง ส. ใส่เกือก...ไปช่วยประถมเสย)

อั้ยเรามันก็...เป็นเสือไม่มีลาย แต่อยากไว้ลาย
เลยเอามาทำให้แบบลำบากลำบน (ขอบ่นก่อนทำมันดูมีค่าดีค่ะ อิอิ) :P

ก็มันบรมยากมากเลย...
สมัยหนูเรียนยังไม่เคยพบเคยเจอเลย 555...5

หมดกระดาษทดอันขาวสะอาดไปหลายปึก

เวลาคิดไม่ได้...นี่มันอึดอัดมากเลย
ดูสิ...ตัวเอง(หมายถึงเพื่อนร่วมงาน)คิดไม่ได้
ยังมีการสั่งการนะว่า.. "จะเอาพรุ่งนี้"

ง่าๆๆๆ..... เห็นหนูเป็นอะไรนี่
เห็นหนูเป็นคนไหมหนอ

หนูเป็นคนนะคะ คนดีด้วย อิอิ :P

อ่ะ....พี่สีตะวันว่าไงอ่ะ
หนูกำลังต้องการกำลังใจมากเลย
พี่สีตะวันให้อภัยหนูน๊า นะคะ

อ่ะ...คืนนี้ดึกๆ
มอบเพลงนี้จากใจให้พี่สีตะวันฟังคนเดียวนะคะ :D


ดอกนีออนบานค่ำ - ตั๊กแตน ชลดา

(/ \) ...(Y_Y)"

NA
17.41 น.
20 Jan. 2009

เป้าหมายชีวิต ฉันต้องลิขิตเอง

คอลัมน์ จิต-ใจ-ดี ชวนคุย

มาต่อกันเรื่องของลักษณะความเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จสูง หลังจากที่เกริ่นถึงลักษณะ 9 ประการไปแล้วในครั้งก่อน ๆ ( อ่านได้ที่นี่ ) และ ได้คุยถึงเรื่องการพัฒนาการความสามารถในการจัดการความผิดพลาดและล้มเหลวไปในสัปดาห์ที่แล้ว ( อ่านได้ที่นี่ ) วันนี้จะมาคุยต่อในเรื่องของการตั้งเป้าหมาย



ตาจับจ้องอยู่ที่เป้าหมาย เพื่อความสำเร็จ
(ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต)

สำหรับการตั้งเป้าหมาย (GOALS) นี้ มีหลักการอยู่ว่าต้องตั้งเป้าหมายอย่างฉลาด หรือเรียกว่า S.M.A.R.T.
อันประกอบไปด้วย

1) Specific. (ชัดเจน)บอกแค่ว่าจะ จะทำให้หุ่นดี ไม่มีผลครับ ต้องบอกว่า จะ ลดน้ำหนักลงไป 5 กก
ชี้ชัด ๆ ไปเลยว่าจะทำอะไร

2) Measurable. (วัดได้) อย่างเช่นถ้าบอกว่าจะ สร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ดี ๆ กับเพื่อนเก่า ก็ควรตั้งไปเลยว่า จะส่งการ์ดวันเกิดและการ์ดอวยพรให้เพื่อนเก่าเสมอ

3) Achievable. (เป็นสิ่งที่ทำได้) เช่น บอกว่าจะเป็นผู้บริหารที่ดีที่สุด แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรดีที่สุดหรอกครับ เขียนเป็นสิ่งที่วัดได้จะดีกว่า เช่น จะเพิ่มยอดขาย ลดการลาออกของลูกน้อง กี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไป

4) Realistic. (ไม่ไกลเกินความเป็นจริง) เช่น บอกว่า จะหัดเล่นสกีให้ได้ แต่บ้านอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่มีหิมะ อันนี้ก็ไกลความเป็นจริงไปหน่อย

5) Timely. (เงื่อนไขเวลา) เนื่องจากเรากำลังตั้ง New Year Resolution เป้าหมายก็ควรจะทำให้สำเร็จได้ภายในหนึ่งปีนะครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T นี้หาอ่านได้จาก
Use S.M.A.R.T. goals to launch management by objectives plan Republic Article


นอกจากตั้งเป้าหมายได้อย่างชาญฉลาดแล้ว เรื่องสำคัญอีกเรื่องก็คือต้องติดตามผลเป็นระยะด้วย ไม่ใช่ว่าตั้งแล้วก็ปล่อยไปเลยตามเลย

เครื่องมือตัวหนึ่งที่ช่วยสำหรับการติดตามดูว่าเราได้ปฏิบัติตามเป้าหมายไว้อย่างไรบ้างชื่อว่า LifeTick
อันเป็นเครื่องมือบนหน้าเวปอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยเหลือผู้ใช้งานตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการให้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเลยทีเดียว หลังจากนั้น LifeTick ก็จะมีเครื่องมือช่วยเสริมต่าง ๆ เพื่อใช้ในการติดตามผล ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมลล์เตือน มีที่ให้ลงบันทึกประจำวันว่าได้ทำอะไรบ้างเพื่อบรรลุเป้าหมาย แสดงผลการทำงานแบบแผนภูมิ

ลองดูแผนภูมิของ LifeTick ได้ตามรูปข้างล่างนี้ครับ



1) เริ่มตั้งแ่ต่การตั้งคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว ว่าอะไรบ้างที่สำคัญต่อชีวิตเรา เช่น อยากมีสุขภาพดี อยากรวย อยากมีการศึกษาสูง

2) หลังจากนั้นก็มาตั้งเป้าหมาย ซึ่งการตั้งเป้าหมายก็จะให้กรอกด้วยว่ามันสอดคล้องกับ S.M.A.R.T. แล้วหรือยัง ถ้าข้อหนึ่งตั้งไว้ว่าอยากมีสุขภาพดี ก็อาจจะตั้งเป้าหมายว่าจะหุ่นดีขึ้น ด้วยการลดหน้าท้องลงสองนิ้ว

3) หลังจากมีเป้าหมายแล้วก็เริ่มมาสร้างเป็นภาระหน้าที่ (Tasks) ย่อย ๆ เพื่อนำไปปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายแต่ละตัว การตั้งภาระหน้าที่นี้ ก็จะกำหนดได้ว่า จะทำวันไหน ทำทุกวันหรือไม่ LifeTick จะคอยส่ง e-mail เตือนให้เราเมื่อถึงกำหนดเวลา เช่น ต้องออกกำลังกายทุกวันพุธครั้งละ 45 นาที เป็นต้น

4) นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือเสริมอีกมายมาย ไม่ว่าจะมีเนื้อที่ให้จดบันทึก การแสดงรายงานการปฏิบัติงานในรูปแบบกราฟแผนภูมิ ว่าได้ทำภาระหน้าที่ตามที่ตั้งใจไว้อย่างไร

LifeTick มีทั้งแบบฟรีและต้องเสียเงิน ความสามารถบางส่วนฟรี และบางส่วนไม่ฟรี
สำหรับผมแล้ว แค่ความสามารถฟรีที่ LifeTick มีให้ก็สนุกกับการตั้งเป้าหมายและิติดตามผลแล้วหล่ะครับ


ลองเล่นดูนะครับ ได้ผลอย่างไร มาคุยกัน

พบกับ ลักษณะความเป็นผู้ประการที่ประสบความสำเร็จด้านอื่น ๆ อีก ในสัปดาห์หน้าครับ

ภาสกร (pC)

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

บันทึกของหลานสาว: เจ๋เจ้ ตอนที่ 19-21



Jeje XIX:


ขณะจอดรถติดไฟแดงอยู่

แจ๊ค : เจ๋เจ้ไหว้ใครอ่ะ?

เจ๋เจ้ : ก็คนนั้นเค้าไหว้เจ๋เจ้อ่ะ (ชี้ไปที่รูปหาเสียงผู้สมัครสจ. ทำให้ไหว้อยู่)

แจ๊ค : อ้อ เจ๋เจ้เลยรับไหว้เค้าเหรอ ฮาๆ



Jeje XX ตอน “เอ่อ.. (พูดไม่ออก)”

เจ๋เจ้ : เจ๊กแจ๊คมาเล่นแม่ลูกกัน

แจ๊ค : ก้อดะ

เจ๋เจ้ : เด๋วคุณแม่พาลูกไปส่งโรงเรียนนะค่ะ

แจ๊ค : คับ

เจ๋เจ้ : บรื้นนนนน

เจ๋เจ้ : ถึงละ ลงรถได้ค่ะ

เจ๋เจ้ : เด๋วคุณแม่จูงมือข้ามถนนนะค่ะ

แจ๊ค : คับ

เจ๋เจ้ : อะ ถึงห้องเรียนละค่ะ

แจ๊ค : งั้นเค้าไปเรียนละ

เจ๋เจ้ : เด๋วค่ะ สวัสดีคุณแม่ก่อนสิค่ะ (หน้าตาจริงจังมัก)

แจ๊ค : เอ่อ… (-_-“)



Jeje XXI "ดูมันฟ้อง"

2 ทุ่ม เฮ้อ ไม่มีไรทำ ไปฟิตเนสดีกว่า

เจ๋เจ้ : เจ๊กแจ๊คจะไปไหนอ่ะ

แจ๊ค : ไป..(ขี้เกียจอธิบายวะ) ข้างนอก

เจ๋เจ้ : ไปไหนละ นี่มันดึกแล้วนะ

แจ๊ค : เออน่า แถวนี้แหละ ไปละๆ

..เช้าวันต่อมา เจ๋เจ้มาเที่ยวบ้านอากง(ปู่)

เจ๋เจ้ : อากงๆ เมื่อคืนเจ๊กแจ๊คหนีเที่ยวกลางคืนด้วยละ

แจ๊ค : อ้าว เฮ้ยๆ



===
พบกับเรื่องของ เจ๋เจ้ ได้ ใหม่ จันทร์หน้าครับ

แจ๊ค

ปล. ติดตามตอนเก่า ๆ ได้ที่นี่ ครับ (คลิ๊ก)

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

ทำไมน้ำตกจึงสวย

มองดูสายน้ำ...
อยากเป็นปลาจัง

จะได้เล่นน้ำท้าลมหนาวแบบอุ่นกาย
แถมอุ่นใจ อิอิ :P



หายตัวไปซะนาน
แต่ว่า...ยังหายใจอยู่ แห่ะๆ
วันนี้อุณหภูมิใจติดลบ
(จะกี่องศา...ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของร่างกายคนรอบข้างค่ะ) :P
งั้นวันนี้อยากมาแทรก ซด หอบเอา
มวลแห่งจิตใจดี เข้าสู่จิตใจอันบอบางสักขีดสองขีดก่อนล่ะ :D
อนุญาตนะคะ
แต่ก่อนไป...มีเรื่องดีดีพกติดไม้ติดมือ
ขอแปะไว้ให้อ่านเล่นๆน๊า


รู้ไหม...?
ทำไมน้ำตกถึงสวย...

พ่อ :
รู้มั้ยลูก...ทำไมน้ำตกถึงสวย...
ลูก : ก็เพราะมันเป็นน้ำตกไงคะพ่อ...


พ่อ : ไม่ใช่หรอกลูก...
…ที่น้ำตกสวยน่ะ...


…เพราะน้ำตกไม่ยอมเก็บน้ำไว้ในชั้นของตัวเองต่างหาก...


ลูก : หมายความว่าไงคะพ่อ...


พ่อ : ลูกสังเกตไหมล่ะว่า...
…เวลาน้ำตกตกลงมาจากชั้นหนึ่งแล้ว...
…น้ำนั้นก็จะถูกส่งต่อลงไปอีกชั้นหนึ่งทันที..
…เพราะวิธีนี้ที่น้ำตก...ไม่เห็นแก่ตัว...
…แต่ยอมส่งน้ำที่ตกมาจากชั้นอื่น..แล้วส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้...

…น้ำตก..ถึงสวย...
…และน้ำตก..จึงยังคงเป็นน้ำตก...ที่มีเสน่ห์..ไงละ

--------------------------------------------------------------------------------


ข้อคิดจากเรื่องนี้... อย่าลืมน่ะลูก... ถ้าลูกอยากให้ตัวเองเป็นคนที่น่ารัก...
ลูกควรจะเป็นอย่างน้ำตก.. หากมีสิ่งดี ๆ ตกมาถึงตัวลูก... อย่าเก็บสิ่งดี ๆ
นั้นไว้..คนเดียว.. ลูกต้องเรียนรู้ที่จะ...แบ่งปัน...ออกไปให้มากที่สุด
มีก็แต่คนที่ "ให้" ออกไปเท่านั้นแหละ...

ลูก.. จึงจะเป็นคนที่ "ได้รับ"
อย่างแท้จริง...


ที่มา : ธรรมะคลายใจ...ท่าน ว. วชิรเมธี

หมายเหตุคนให้: ช่วงนี้อากาศหนาวมากเลย

ห่มผ้าห่มหนาๆนะคะ โดยเฉพาะคนยังไม่มีแฟนควรดูแลตัวเองเป็นกรณีพิเศษ :D

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จั่นเจายังวืด! ได้








คอลัมน์ จิต-ใจ-ดี ชวนคุย

สวัสดีปีใหม่ ผู้ที่แวะมาเยี่ยมชม ชุมชน จิต-ใจ-ดี แห่งนี้ทุกท่านครับ

สัปดาห์นี้ผมมาเขียนต่อ เรื่องลักษณะความเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จที่เขียนค้างไว้ในครั้งก่อน


หนึ่งในลักษณะความเป็นผู้ประกอบการที่ผมคิดว่า สำคัญมากในยามที่เกิดวิกฤติเช่นนี้ คือความสามารถในการจัดการกับความผิดพลาดล้มเหลว พูดแล้วเหมือนจะง่ายก็แค่จัดการกับสิ่งที่ผิดพลาดแค่นั้น แ่ต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ง่ายอย่างที่พูดเลย เพราะเราไม่รู้ว่าความผิดพลาดนั้นจะแก้อย่างไร และหลายคนมักยึดติดกับปัญหาหรือความผิดพลาดและยิ่งจมปลักกับปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ

ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่
สังเกตุการเก็บดาบของท่านจั่นเจา ( จาก youtube.com )





เห็นไหมครับ
เห็นความผิดพลาดไหมครับ
และเห็นวิธีแก้ไขความผิดพลาดไหมครับ


จั่นเจาเก็บดาบไม่เข้าฝัก แต่ต้องทำเนียน ถ่ายต่อไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าหยุดหรือโวยวายขึ้นมา ทุกคนก็ต้องเริ่มฉากนี้กันใหม่ เสียเงิน และเสียเวลา และตัวจั่นเจาเองก็อาจจะเฉลียวใจได้ว่ากล้องอาจจะไม่ได้จับอยู่ที่ดาบของเขา ลองคิดดูกรณีที่การเก็บดาบของจั่นเจาอยู่นอกกรอกภาพ การโวยวายว่าดาบไม่เข้าฝักนั้นก็มีแต่เสียกับเสีย เขาจึงแกล้งทำเนียนทำทีว่าเก็บดาบเข้าฝักไปแล้ว ฉากนี้ถ้าไม่สังเกตุกันจริง ๆ ก็คงไม่เห็น

เรืื่องนี้สอนให้ผมรู้ว่า

1) คนเรามันก็พลาดกันได้ อยู่ที่ว่า จะแก้สถานการณ์ไปได้อย่างไร ต่างหาก
2) ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ต้องเข้าใจกับมันให้ชัดเจน ว่ามันเป็นความผิดพลาดของใคร จากอะไร มีผู้ที่จะได้รับผลกระทบคือใครบ้าง
3) มีวิธีแก้ไข ปกปิด หรือทำให้ ปัญหามันเล็กลง หรือหายไปได้หรือไม่ เพราะหลายครั้งที่เราพยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปัญหามากกว่าจะลดปัญหาลง
4) คิดให้เร็ว และแก้ปัญหาให้ไว ถ้ามัวแต่เงอะงะ ไม่ทันกิน และปัญหาจะบานปลายจนแก้ไม่ได้


ผู้อ่านหล่ะครับ ได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้อีก....


สำหรับผมแล้ว ขอยกนิ้วให้ เหอเจียจิ้ง ผู้รับบทเป็นจั่นเจา ที่มีลักษณะของผู้ประสบความสำเร็จในการจัดการความผิดพลาดและล้มเหลวได้เป็นอย่างดี


แล้วคุยกันใหม่ ใน จิต-ใจ-ดี ชวนคุยครั้งหน้า กับลักษณะความเป็นผู้ประกอบการด้านที่เหลืออยู่ ครับ

ภาสกร (pC)

บันทึกของหลานสาว: เจ๋เจ้ ตอนที่ 16-18




Jeje XVI:

เจ๋เจ้ : โรงเรียนเค้ามีสระว่ายน้ำด้วยละ

แจ๊ค : โอ้โห

เจ๋เจ้ : มีสไลเดอร์ด้วย

แจ๊ค : อยากเล่นมั่งจัง ขอไปเล่นด้วยคนนะ

เจ๋เจ้ : ไม่ได้แจ๊คโตแล้ว รอแจ๊คเด็กก่อนค่อยเล่นนะ

แจ๊ค : ;DDD



Jeje XVII:

แทน : เจ๋เจ้กิน ซ็อคโกแลตมั้ย

เจ๋เจ้ : แม่ เฮียแทนพูด ซ็อคโกแลต ว่า ซ็อคโกแลต อ่ะ (ฟ้องๆ)

แม่ : แล้วเจ๋เจ้พูดช็อคโกแลตว่าไงลูก ^ ^

เจ๋เจ้ : ซ็อคโกแลต



Jeje XVIII:

เจ๋เจ้ : แจ๊ค ดูนี่เค้าระบายสีเองน้า

แจ๊ค : โห สวยจังตัวไรเนี้ย

เจ๋เจ้ : เสือ

แจ๊ค : ทำไมหน้ามันดำๆละ

เจ๋เจ้ : ก็มันเป็นตัวผู้อ่ะ

แจ๊ค : เจ๋เจ้รู้ได้ไง

เจ๋เจ้ : ก็เสือมันมีหนวดอ่ะ

แจ๊ค : !!




===
สุขสันต์วันเด็กนะครับ

พบกับเรื่องของ
เจ๋เจ้ ได้ ใหม่ จันทร์หน้าครับ

แจ๊ค

ปล. ติดตามตอนเก่า ๆ ได้ที่นี่ ครับ (คลิ๊ก)

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

สวดมนต์ทำไม .. เพื่ออะไร ... สวดเพื่อใคร

ที่มา คุณ ป. วิเศษ จาก http://www.palungjit.com
เป็นข้อมูลที่่น่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อโดยไม่ตัดทอนดังนี้

ทุกครั้งที่สวดมนต์ มักจะมีคำถาม ขึ้นมาเสมอ
"สวดมนต์ทำไม .. เพื่ออะไร ... สวดเพื่อใคร"
ทดลองสวดมนต์ตามหนังสือที่ได้รับมาบ้าง ตามที่อ่านคำแนะนำมาบ้าง ก็ทำไปตามประเพณีนิยม
ผลทีได้รับกลับมาคือ

๑. ความสงบ (เพราะจิตนิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับคำสวด)
๒. มีสมาธิ เพิ่มขึ้น (สวดไม่ผิด)

แต่การสวดมนต์เหมือนต้องฝืนทำไปเพราะ ชีวิตประจำวันค่อนข้างเหนื่อยล้า จากการขับรถ การงาน
และละครโทรทัศน์ (เกี่ยวกันไหมเนี่ย!!! )

จนเมื่ออาจารย์เสริมศิลป์ ครั้งแรกมาสวดมนต์ที่บ้าน โหยยยย .... ทำไม ทำไมคะ ทำไมสวดเร็วเป็น
รถด่วนขบวนสุดท้ายขนาดนั้น เราว่าเราอ่านหนังสือได้ไวแล้ว เจอกลุ่มอาจารย์ฯ สวดมนต์ ขอบอก
ได้แต่ยิ้มเพราะ ...ดูตามยังไม่ทันเลยค่ะ ... (ฮั่นแน่ .. หลายคนแอบพยักหน้า เพราะยกมือด้วย...
ชิมิ ชิมิคะ!)

หลังจากนั้นก็เกิดความสนใจว่า
* เพราะเหตุใดต้องสวดกันเร็ว
* ทำไมบทสวดมนต์ถึงสวดกันยาวนานขนาดนั้น
* ทำไมต้องนั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้คนเยอะแยะไปหมด และ
* ทำไม??????? อีกหลายข้อ
จึงลองสังเกตุจากการที่ตามกลุ่มฯ ไปสวดมนต์จึงได้คำตอบ..

อาจารย์ : "สวดมนต์เร็วๆ ได้ประโยชน์อะไรบ้าง?"
Admin : " ๑. เหมือนได้ออกกำลังกาย เพราะสวดมนต์เร็ว ออกเสียง แล้วเหงื่อออก ปอดขยาย
๒. มีสติ เพราะสวดเร็วต้องมีสติตามรู้ ๓. ได้สมาธิ เพราะจิตนิ่งตามบทสวดมนต์"

เวลาสวดมนต์ทุกครั้งอาจารย์จะสอบถามว่าสัมผัสอะไรไหรือไม่ .. บางท่านก็สามารถสื่อได้ ก็จะเห็นพระ
แสงสว่าง บ้างก็วิญญาณ ฯลฯ แล้วแต่สถานที่ แต่อาจารย์จะย้ำทุกครั้งว่า การสวดมนต์ด้วยศรัทธาเป็นการ
เปิด ๓ โลก การสวดมนต์เมตตาใหญ่พิสดารเป็นการสวดมนต์ส่งวิญญาณผู้ตาย และเทวดาเขาชอบฟัง...

คราวนี้ สงสัยหนักกว่าเก่าเลย ...
* อะไร ๓ โลก
* ใครมาฟัง??!!
* ฟังแล้วทำไมไปเกิด??!!
* ทำไมเทวดาต้องมาฟัง??!! สวดเองไม่ได้เหรอ??
เพราะไม่เข้าใจ จนในที่สุดความสงสัยก่อตัวมากเสียจนไปพบประสบการไปสวดมนต์กับกลุ่มฯ อาจารย์
หลายครั้ง จนวันหนึ่งไปร่วมงานหล่อพระพุทธรูป ที่วัด ......... และอาจารย์ไปสวดมนต์ในโบสถ์ที่กำลัง
ก่อสร้างอยู่







เมื่อสวดมนต์จิตสงบเป็นสมาธิมาก เพราะสวดเป็นประจำ ทำให้จำบทสวดขึ้นใจจึงหลับตาสวด
ในขณะที่หลับตา ก็เห็นผู้ชายใส่เสื้อแขนยาว กางเกงสีน้ำเงินเข้ม ที่ศีรษะมีเลือดออก ยืนชิดริม
กำแพงโบสถ์


ภาพที่เห็นในจิต

จิตก็นึกว่า : "ตาฝาด!!! ผีเข้าโบสถ์ไม่ได้หรอก"

จึงนำจิตไปจดจ่อกับบทสวดมนต์ แต่แล้วอีกสักครู่ จิตก็เห็นายคนนั้นอีก คราวนี้แม้ว่าจะใส่ชุดเดิม
แต่กลับดูสะอาดขึ้น กหน้าตาสะอาดสะอ้าน และมีรอยยิ้มที่ใบหน้าของเขา แต่... ก็ยังคิดว่าตนเอง
ตาฝาดอีกเหมือนเดิม กสวดมนต์ต่อไป จนมานั่งคิดอีก ๔ วันถัดมาว่า "เราตาฝาดจริงหรือ"
จึงสอบถามอาจารย์

อาจารย์บอกว่า : "เห็นจริง ของจริง เขามาฟังสวดมนต์ ก็จะแปลงเพศจากวิญญาณ
เปรต เป็นเทพ เทวดา หรือ พ้นสภาพของวิญญาณนั้นไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้"

อัศจรรย์ ..... บทสวดมนต์นี้แปลกนัก ด้วยประสบการณ์นี้ทำให้เราเชื่อเต็มร้อยว่า การ
สวดมนต์มีประโยชน์จริง ทั้งต่อตนเอง (ได้สมาธิ ขณิกสมาธิ และอุปจาระสมาธิ)

คราวนี้ก็ตั้งใจสวดมนต์ด้วยความศรัทธามากขึ้น มากจริง ๆ และดีใจที่ได้เห็น เพราะการยอมรับทำให้
เกิดศรัทธา และจิตใจตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย เพราะ "ไม่สงสัย" นั่นเอง

เอาล่ะ มาถึงตรงนี้ก็จะขอนำเรื่องของหลวงปู่โต ซึ่งมีการบันทึกในหนังสือมาให้อ่านนะคะ เพราะ
คำของอาจารย์ที่ว่า
"สวดมนต์ด้วยศรัทธา เปิด ๓ โลก"
แต่ถ้าไปสวดโดยหน้าที่ก็ไม่เห็นผลแก่ผู้สวด แต่ส่งผลอันยิ่งใหญ่แก่ "ผู้ไปฟังสวดมนต์" ด้วยศรัทธา
แต่ไปสวดเพราะศรัทธาไดอานิสงส์ เต็ม ๆ ค่ะ

*********************************************************************

อานิสงส์ของการสวดมนต์
เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยา
สรรเพชรภักดี จางวาง มหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน

ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้า
พระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วย
ต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยาเจ้าประคุณสมเด็จโต
ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์
“เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์”

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และ
เสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการ
สวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่าน
มีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้า
มีคุณเช่นไร

การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ
ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ที่อาตมากล่าวเช่นนี้
มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วย
กันคือ

• เมื่อฟังธรรม
• เมื่อแสดงธรรม
• เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
• เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
• เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรง
ประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้า
เป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม
การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์
นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ

• กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
• ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
• วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา
ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็น
มงคลอันสูงสุดที่เดียว

อาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อม
เข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน

การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดังพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น

* ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะ
ทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้นๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด

* ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอยได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มี
จิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบ
ฟังเสียงในการสวดมนต์มีอยู่จำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้า
มาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้
ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดาทั้งหลาย
คุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม

ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ
พระสังฆคุณ เมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี
ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดี จะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล..

จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต พรหมรังษี หน้า ๒๙ – ๓๖ ***

***********************************************************************

พระพุทธมนต์และคำว่า สาธุ มีอานุภาพดีอย่างไร

เรื่องนี้ท่านพระอาจารย์มั่น พักอยู่บนดอยปะหร่องกับท่านอาจารย์มนู ตอนเช้าเที่ยวบิณฑบาตให้พรชาวบ้าน
พอให้พรเสร็จ สุขัง พะลัง ท่านสอนให้ชาวบ้าน “สาธุ” พร้อมกันด้วยเสียงสูง ท่านพระอาจารย์มั่นว่าเป็นเชิงตลกว่า
มือทั้งสองข้างของเราชูขึ้นข้างบน เหมือนบั้งไฟจะขึ้นสู่ท้องฟ้า

วันหนึ่งท่านนั่งพักในที่เป็นที่พักกลางวัน มีเทพพวกหนึ่งจากเขาคิชฌกูฏ อยู่ที่ไหนไม่รู้ เราก็ไม่รู้จัก

ท่านว่ามาถามท่านว่า “เสียงสาธุ สาธุ สาธุ อะไร สะเทือนสะท้านทุกวัน พวกเทพทั้งหลายได้ฟัง มี
ความสุขไปตามๆ กัน”

ท่านว่า ท่านมาพิจารณาอะไร ที่ไหน จึงระลึกได้ว่า “โอ..! เสียงสาธุการชาวบ้านถวายทาน”
พอรับทราบแล้วพวกเทพก็ว่า “เขาก็สาธุการด้วย”

แล้วทำประทักษิณ เวียนขวาลากลับไป ส่วนมากพวกเทพจะทำอย่างนั้น

ท่านพระอาจารย์มั่นเลยมาพิจารณาต่อว่า การสาธยายมนต์พุทธมนต์นะใครก็ตามจะเป็นกิจวัตรพระสงฆ์
เช้า – เย็น หรือชาวพุทธทุกคนสวดพุทธคุณ..
ระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักวาล
พูดออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักวาล
สวดมนต์เช้า - เย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏจักวาล
สวดเต็มเสียงสุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันนตจักวาล
แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในภพที่สุดอเวจีมหานรก ยังได้รับความสุข เมื่อแว่วเสียงพุทธมนต์ ผ่านเข้าถึงชั่วขณะหนึ่ง
ครู่หนึ่ง ชั่วช้างพับหูงูแลบลิ้น ดีกว่าหาความสุขไม่ได้ตลอดกาลเนืองนิจ นี้คืออานิสงส์ของพระพุทธมนต์ ท่าน
พระอาจารย์มั่นว่าอย่างนี้

จากหนังสือบูรพาจารย์ หน้า ๖๐๑-๖๐๒

********************************************************************

ได้ข้อสรุป
* เพราะเหตุใดต้องสวดกันเร็ว : จะได้สมาธิ มีสติ และเหมือนเป็นการออกกำลังกาย

* ทำไมบทสวดมนต์ถึงสวดกันยาวนานขนาดนั้น : สวดมนต์ถ้าสวดยาว หน่อยจะได้มีสมาธิ สวดมนต์
บทเมตตาใหญ่พิสดาร ก็จะได้สมาธิ (ฌาณ ๔)

* ทำไมต้องนั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้คนเยอะแยะไปหมด : เมื่อสวดมนต์จิตเข้าสมาธิขั้นต่ำ ขณิกสมาธิ
ดีแล้ว จิตก็มีพลัง เมื่อนั่งสมาธิจิตเวลานั่งก็สงบ เวลาแผ่เมตตาก็ก็มีกำลังมาก

* อะไร ๓ โลก : โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก

* ใครมาฟัง??!! : เทวดา เทพ พรหม ครุฑ นาค สรรพวิญญาณทั้งหลาย ตัวมนุษย์ และนรก

* ฟังแล้วทำไมไปเกิด??!! : เมื่อเขาอนุโมทนาบุญแล้ว ก็เป็นการปลดพันธนาการ มีบุญไปเกิดภพื่น , บ้าง
เมื่อฟังสวดมนต์แล้วเกิดความสลดสังเวชใจ ละวางร่างกายสังขาร ก็พ้นทุกขเวทนา

* ทำไมเทวดาต้องมาฟัง??!! สวดเองไม่ได้เหรอ?? : เทวดารักษาศีลก็มี เทวดาพาลก็มี เทวดามีศีลชอบ
ฟังเสียงสวดมนต์ค่ะ เมื่อท่านมาอนุโมทนาท่านก็ได้บุญบารมีเพิ่มได้ค่ะ
__________________
http://www.mettajetovimuti.com/

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

วิจารณ์หนังสือ อัจฉริยะสร้างได้ (จริงหรือ)




อัจฉริยะสร้างได้ : เคล็ดลับพัฒนาอัจฉริยภาพ 8 ด้าน เพื่อก้าวสู่ความเป็นอัจฉริยะ
โดย วนิษา เรซ (Vanessa Race) หรือ หนูดี
สำนักพิมพ์ Red
พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2550
ISBN 978-974-8001-61-6
ปกอ่อน 179 หน้า ราคา 165 บาท



หนังสือเล่มนี้ผมอ่านจบนานแล้ว ว่าจะเขียนถึงหลายที แต่ก็ไม่มีเวลามานั่งเขียนดี ๆ เพราะติดสอบ
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบภายในไม่กี่ชั่วโมง ด้วยเป็นเพราะหนังสือเขียนให้อ่านง่าย ๆ ลักษณะการเขียนทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ากำลังนั่งคุยสบาย ๆ อยู่กับผู้เขียน (คุณหนูดี) เนื้อหาในหนังสือกล่าวถึง ทฤษฎีพหุปัญญา หรือ Multiple Intelligences ที่เสนอโดย ศาสตราจารย์ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner: รูป) ทฤษฎีพหุปัญญา นี้ได้หักล้างแนวคิดเก่า ๆ ที่ว่าความเป็นอัจฉริยะเป็นเรื่องของความฉลาดแต่เพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วความอัจฉริยะนั้นสามารถแสดงออกได้ในหลาย ๆ ด้าน ศาสตราจารย์โฮเวิร์ดได้เสนอแนวคิดนี้ในหนังสือ Frames of Mind (กรอบทางความคิด): 1983 อัจริยะภาพของมนุษย์อย่างน้อยแปดประการได้ถูกนำเสนอ อันประกอบไปด้วย
  1. ภาษาและการสื่อสาร (Linguistics Intelligence)

  2. ร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence)

  3. มิติสัมพันธ์และการจินตภาพ (Spatial Intelligence)

  4. ตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence)

  5. การเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)

  6. การเข้าใจผู้อื่นและมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)

  7. การเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist Intelligence)

  8. ดนตรีและจังหวะ (Musical Intelligence)

คุณหนูดี ได้สรุปอัจริยะภาพแปดประการนั้น ด้วยภาษาที่อ่านง่าย ยกตัวอย่างให้เห็นถึงการแสดงออกถึงอัจฉริยะภาพในด้านต่าง ๆ และยกตัวอย่างบุคคลที่แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะภาพในด้านนั้น ๆ ได้อย่างน่าสนใจ

นอกจากนี้คุณหนูดียังแทรกเสริม เทคนิคเคล็ดลับต่าง ๆ ที่ใ้ช้พัฒนาอัจฉริยะภาพได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคการทำ Mind Maps, การพัฒนาทักษะการพูด ฟัง คิด อ่านและ เขียน รวมไปถึงการร้องเพลง เล่นกีฬา และเรืองอื่น ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม และง่ายที่จะปฏิบัติตาม

ตอนท้ายของเล่ม เป็นประวัติของคุณหนูดี หรือ วริษา เรซ และข้อมูลเกี่ยวกับงานที่เธอทำอยู่

สิ่งที่ชอบมาก สำหรับหนังสือเล่มนี้ คือ อ่านแล้วมีกำลังใจ ทำให้รู้สึกว่า เราทำได้ เราสามารถที่จะพัฒนาความเป็นอัจฉริยะในทุกด้าน ๆ ของเราได้ เทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่หนังสือแนะนำดูง่ายและไม่ซับซ้อน คุณหนูดีได้ทำให้เห็นว่าการใส่ใจกับกิจกรรมประจำวัน เช่น การนั่งหลังตรง การหายใจ การเคี้ยวอาหาร การฝึกวาดวงกลม ล้วนแต่พัฒนาความอัจฉริยะของเราได้ ขอเพียงแต่ได้ ใส่ใจ และเริ่มทำทำอย่างตั้งใจจริง


ที่จะติสักนิด สำหรับหนังสือเล่มนี้คือ คุณหนูดีเขียนหนังสือได้เหมือนมานั่งเล่ามากไปหน่อย ทำให้ลดทอนความวิชาการของเนื้อหาไป ประวัติของคุณหนูดีเองดูเหมือนจะมากไปนิด อ่านแล้วแกมหมั่นไส้อยู่ในที คนอะไร จะฉลาดพัฒนาตัวเองจนมี พหุปัญญา ได้ขนาดนั้น

สิ่งที่อยากเห็น ผมอยากเห็นคุณหนูดีเขียนหนังสือหรือบทความที่มีความเป็นวิชาการมากขึ้น มีเนื้อหาที่อ่านง่าย แต่ไม่ต้องมีลักษณะของการอ่านที่นั่งฟังหนูดีพูด (ตัดประโยคที่อ้างอิงถึงตัวเอง และสรรพนามออก เช่น "หนูดีคิดว่า หนูดีอย่างนั้น หนูดีอย่างนี้") และเนื่องจากคุณหนูดีได้ทำโรงเรียนและจัดการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้จริงจังน่าจะมีการแสดงผลของผู้ที่นำเทคนิคต่าง ๆ ไปใช้ ว่าพวกเขาเหล่านั้นพัฒนาตนได้มากเพียงใด ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนเทคนิควิธีการที่เขียนอยู่ในหนังสือ และพิสูจน์ให้เห็นว่า อัจฉริยะ นั้นสร้างได้จริง



อย่างไรก็ดี อัจฉริยะสร้างได้ เป็นหนังสือที่ควรหาอ่าน และขอเก็บเป็นหนังสือขึ้นหิ้ง ของ จิต-ใจ-ดี อีกหนึ่งเล่มครับ



เขียนโดย

ภาสกร (pC)



ขอบคุณ

รูปปกหนังสือ จาก http://ldd.go.th/e_library
พี่แอน ลลนา ที่ส่งหนังสือดี ๆ มาให้อ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

ธรรมะสุดฮา ... จาก หลวงพ่อคูณ



ข้อมูลจาก FW-mail
(ไม่แน่ใจว่างานเขียนของหลวงพ่อคูณจริงหรือไม่ แต่อ่านแล้วดีนะครับ)

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

ธรรมบรรยาย mp3 แจกฟรี




แนะนำเวปไซต์ที่รวบรวม เสียงบรรยายธรรม ในรูปแบบไฟล์ mp3 แจกฟรี ให้พุทธศาสนิกชน และผู้สนใจได้ดาวน์โหลดไปศึกษาฟรี

เข้าไปดูเนื้อหา และ ดาวน์โหลด ที่นี่





ตอนนี้มีเสียงบรรยายธรรมดังนี้

- ติช นัท ฮันท์
- พระปราโมทย์ ปราโมชโช
- พุทธทาสภิกขุ
- พุทธโอวาส 3 เดือน ก่อนปิรินิพาน
- หลวงตาบัว
- หลวงปู่ชา (วัดหนองป่าพง)
- หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ


นอกจากนี้ ที่เวปไซต์ (http://serenely.think-out-loud.net/) ก็มีบทความที่น่าสนใจมากมาย เช่น

- ปาฏิหารย์ของการตื่นอยู่เสมอ
- พระไตรปิฎกฉบับ XML
- การทำงานคือการปฏิบัติธรรม
- ตำนานทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ


เนื้อหาบทความน่าสนใจขนาดนี้ ขอท่านผู้อ่านติดตาม (คลิ๊ก)


สำหรับที่ชุมชนจิต-ใจ-ดี แห่งนี้ ก็จะคอยขึ้นข้อความเมื่อมีบทความใหม่ ในลิงค์ด้านซ้ายมือด้วย


ขอขอบคุณทีมงาน http://serenely.think-out-loud.net/ ที่สร้างเวปไซต์และเผยแพร่ข้อมูลดี ๆ ให้พวกเราได้ติดตาม

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จสูงและต่ำ








คอลัมน์ จิต-ใจ-ดี ชวนคุย


ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจ ของโลกและประเทศไทยกำลังหดตัวลงอย่างรุนแรง ปีนี้ ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ และการดำเนินการของธุรกิจคงส่งผลให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเตรียมรับมือวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น จิต-ใจ-ดี ขอเสนอผลจากงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของผู้ประกอบการรายย่อยที่ประสบความสำเร็จสูงและต่ำว่าเป็นอย่างไร

จากงานวิจัยการเปรียบเทียบภูมิหลังและลักษณะความเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จสูงและต่ำ ในกิจการ SMEs ฯ [1] ซึ่งได้ทำการ สัมภาษณ์ ส่งแบบสอบถาม และตรวจสอบผลกำไร/ขาดทุน ของผู้ประกอบกิจการในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยกลุ่มตัวอย่างกว่า 200 กิจการ เมื่อปี 2542 (หลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2540 2 ปี ) พบว่า

1) ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณก็สามารถทำให้กิจการประสบการประสบความสำเร็จได้ เพราะ ภูมิหลังต่าง ๆ เช่น เชื้อชาติ ระดับการศึกษาสูงสุด สถานภาพสมรส อาชีพบิดามารดา และประสบการณ์ในการทำงานมาก่อนเปิดกิจการนั้น สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงและต่ำไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

2) มีลักษณะความเป็นผู้ประกอบการ 9 ประการ ที่แยกกลุ่มผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จสูงออกจากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จต่ำได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อันประกอบด้วย

  • ใฝ่ความสำเร็จ
  • กล้าริเริ่ม
  • มีความมั่นใจในตนเอง
  • สามารถจัดการความผิดพลาดล้มเหลว
  • แสวงหาโอกาสใหม่ๆ
  • มีแรงจูงใจและพลังในตนเอง
  • มุ่งมันอดทน
  • มีวิสัยทัศน์และตั้งเป้าหมายชัดเจน
  • แสวงหาข้อมูลและความชียวชาญจากผู้อื่น


เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องตัดพ้อต่อชีวิตโชคชะตาและภูมิหลังที่เราไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่มาเตรียมพร้อมสร้างเสริมลักษณะความเป็นผู้ประกอบการ เพื่อเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ กันดีกว่าครับ



ว่าแต่ว่า ลักษณะความเป็นผู้ประกอบการทั้ง 9 นี้ เพียงพอจริงหรือ และจะสร้างเสริมมันได้อย่างไร

ผู้อ่านคิดว่าอย่างไรครับ.....



จิต-ใจ-ดี ชวนคุยครั้งหน้า มาคุยต่อกันเรื่อง การสร้างลักษณะความเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จทั้ง 9 นี้ต่อดีกว่าครับ



อ้างอิง

1 การเปรียบเทียบภูมิหลังและลักษณะความเป็นผู้ประกอบการ ระหว่างผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จสูงและต่ำ ในการดำเนินกิจการอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลาง ในจังเชียงใหม่, ภาสกร แช่มประเสริฐ, การค้นคว้าแบบอิสระ สาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กร, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , 2542 (อ่านรายงานฉบับเต็ม จากห้องสมุด มช. ที่นี่)

บันทึกของหลานสาว: เจ๋เจ้ ตอนที่ 13-15




Jeje XIII:


เจ๋เจ้ไปโรงเรียนได้ 2 วัน..

เจ๋เจ้ : แจ๊ค วันนี้เค้าไปโรงเรียนไม่ร้องไห้ด้วย (ก่อนไป ไม่นับนะ ^ ^)

แจ๊ค : เก่งจ้า ได้เพื่อนกี่คนละ

เจ๋เจ้ : 2 และ

แจ๊ค : ชื่อไรม้าง

เจ๋เจ้ : สไลเดอร์ กะ ชิงช้า

แจ๊ค : นั่นมันคนที่ไหนกันเล้า -_-"



Jeje XIV:

เจ๋เจ้ : น้องแป้งๆ มาเล่นกัน เด๋วเค้าแปลงร่างก่อน (ทำท่าแปลงร่างอาบะแรงเจอร์)

น้องแป้ง : แป้งเป็นๆ (ยิงฟัน แล้วก็แปรงๆๆๆ)

เจ๋เจ้ : (งง)..น้องแป้งทำไร

น้องแป้ง : แปรง(ฟัน)ล่าง (แปรงๆๆๆ)

หมายเหตุ : น้องแป้งอายุ 2 ขวบไม่เคยดูขบวนการอาบะแรงเจอร์ใดๆทั้งสิ้น แต่คุณแม่สอนแปรงฟันมาดีค่ะ ^ ^



Jeje XV:

แจ๊ค : เจ๋เจ้ วันนี้ไปโรงเรียนได้เพื่อนกี่คนละค่ะ

เจ๋เจ้ : 4-5 คน

แจ๊ค : ชื่อไรมั่งค่ะ ^ ^

เจ๋เจ้ : เค้าไม่ได้ถาม

แจ๊ค : (แล้วไปๆ) เป็นผู้ชายผู้หญิงกี่คนค่ะ

เจ๋เจ้ : เป็นผู้ชาย 2 ตัวเมีย 3

แจ๊ค : 555



===

สวัสดีปีใหม่ครับ



พบกับเรื่องของ เจ๋เจ้ ได้ ใหม่ จันทร์หน้าครับ

แจ๊ค


ปล. ติดตามตอนเก่า ๆ ได้ที่นี่ ครับ (คลิ๊ก)

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

สุขสันต์ปีใหม่

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ






สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๒
สุข สดชื่น สุขภาพแข็งแรง
สมหวัง ทุกประการครับ


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม http://จิต-ใจ-ดี.co.cc แห่งนี้นะครับ